สำหรับผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่ดู่ และสนใจใคร่จะฝึกหัดกรรมฐาน ตามแนวทางที่ท่านสอน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี ผู้เขียนก็ขออนุญาตยกตัวอย่างไว้พอเป็นแนวทางดังนี้
๑. เริ่มต้นด้วยการกล่าวคำบูชาพระ สมาทานศีล (เปลี่ยนศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร เป็น อพรัหมจริยาฯ เพื่อเตรียมจิตก่อนอธิษฐานบวชจิต) จากนั้น ก็กล่าวคำอาราธนากรรมฐานโดยว่า...
พุทธัง อาราธะนัง กะโรมิ
ธัมมัง อาราธะนัง กะโรมิ
สังฆัง อาราธะนัง กะโรมิ
นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา ( ๓ ครั้ง )
นะโม พรหมปัญโญ (๓ ครั้ง)
เป็นต้น
๒. ในเบื้องต้น ยังไม่ต้องรีบร้อนบริกรรมภาวนาหรือนึกนิมิตใดๆ หากแต่ให้ปรับท่านั่งให้เป็นที่สบาย สูดลมหายใจลึกๆ สักสองสามครั้ง พร้อมกับทำจิตใจของเราให้ปลอดโปร่งโล่งว่าง สร้างฉันทะที่จะปฏิบัติกรรมฐาน ระลึกว่าเรากำลังใช้เวลาที่มีคุณค่าแก่ชีวิตซึ่งจะเป็นสิ่งติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
๓. กล่าวอาราธนา ขอให้พระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงปู่เกษม ได้โปรดมาเป็นผู้นำและอุปการะจิตในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ จากนั้น ก็น้อมจิตกราบพระว่า... พุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ
๔. สำรวจอารมณ์ที่ค้างคาอยู่ในใจเรา แล้วชำระมันออกไป ทั้งเรื่องน่าสนุกเพลิดเพลิน หรือเรื่องชวนให้ขุ่นมัวต่างๆ ตลอดถึงความง่วงเหงาหาวนอน และความฟุ้งซ่านรำคาญใจ รวมทั้งปล่อยวางความลังเลสงสัยต่างๆ
๕. เมื่อชำระนิวรณ์อันเป็นอุปสรรคของการเจริญสมาธิออกไปในระดับหนึ่งแล้ว กระทั่งรู้สึกปลอดโปร่งโล่งว่างตามสมควร จึงค่อยบริกรรมภาวนาในใจว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”
๖. มีหลักอยู่ว่าต้องบริกรรมภาวนาด้วยใจที่สบายๆ (ยิ้มน้อยๆ ในดวงใจ) ไม่เคร่งเครียด หรือจี้จ้องบังคับใจจนเกินไป
๗. ทำความรู้สึกว่าร่างกายของเราโปร่ง กระทั่งว่าลมที่พัดผ่านร่างกายเรา คล้ายๆ กับว่าจะทะลุผ่านร่างของเราออกไปได้
๘. ให้มีจิตยินดีในทุกๆ คำบริกรรมภาวนา ว่าทุกๆ คำบริกรรมภาวนาจะกลั่นจิตของเราให้ใสสว่างขึ้นๆ
๙. เอาจิตที่เป็นสมาธินี้มาพิจารณาร่างกายว่ามันเป็นก้อนทุกข์ ยามจะแก่จะเจ็บจะตาย เราก็ไม่อาจบังคับบัญชาหรือห้ามปรามมันได้ ถึงแม้ว่าเราจะดูแลมันดีอย่างไรมันก็จะทรยศเรามันจะไม่เชื่อฟังเรา ให้พิจารณาให้ละเอียดลงไปซ้ำๆ จนกว่าจิตจะเห็นความจริงและยอมรับ เมื่อจิตยอมรับ จิตก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้เป็นเราหรือเป็นของเรา
(การปฏิบัติกรรมฐานครั้งต่อไป ก็อาจเปลี่ยนเป็นการพิจารณาอย่างอื่น เป็นต้นว่าร่างกายเราหรือคนอื่นก็สักแต่ว่าเป็นโครงกระดูก แม้ภายนอกจะดูแตกต่าง มีทั้งที่ผิวพรรณงาม หรือทรามอย่างไร แต่เบื้องลึกภายในก็ไม่แตกต่างกันในความเป็นกระดูก ที่ไม่น่าดูน่าชมเสมอกันหมด ให้พิจารณาให้จิตยอมรับความจริงเพื่อให้คลายความหลงยึดในร่างกาย ฯลฯ)
๑๐. เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มขาดกำลังหรือความแจ่มชัดก็ให้หันกลับมาบริกรรมภาวนาเพื่อสร้างสมาธิขึ้นอีก
๑๑. ในบางครั้งที่จิตขาดกำลัง หรือขาดศรัทธา ก็ให้เรานึกนิมิต (นอกเหนือจากคำบริกรรมภาวนา) เช่น นึกนิมิตหลวงปู่ดู่อยู่เบื้องหน้าเรา นึกง่ายๆ สบายๆให้คำบริกรรมดังก้องกังวานมาจากองค์นิมิตนั้นทำไปเรื่อยๆ เวลาเผลอสติไปคิดนึกเรื่องอื่น ก็พยายามมีสติระลึกรู้เท่าทัน ดึงจิตกลับมาอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาดังเดิม
๑๒. เมื่อจิตมีกำลังหรือรู้สึกถึงปีติและความสว่างก็ให้พิจารณาทบทวนในเรื่องกาย หรือเรื่องความตาย หรือเรื่องความพลัดพราก ฯลฯ หรือเรื่องอื่นใด โดยมีหลักว่าต้องอยู่ในกรอบของเรื่องความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่เที่ยงแท้แน่นอน (อนัตตา)
๑๓. ก่อนจะเลิก (หากจิตยังไม่รวมหรือไม่โปร่งเบาหรือไม่สว่าง ก็ควรเพียรรวมจิตอีกครั้ง เพราะหลวงปู่แนะให้เลิกตอนที่จิตดีที่สุด) จากนั้นก็ให้อาราธนาพระเข้าตัวโดยว่า
สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆาฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
อะระหันตานัญจะเต เชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิสังฆัง อธิษฐามิ
โดยน้อมอาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ที่จิตเราหรืออาจจะนึกเป็นนิมิตองค์พระมาตั้งไว้ที่ในตัวเรา
๑๔. สุดท้าย ให้นึกแผ่เมตตา โดยนึกเป็นแสงสว่างออกจากใจ
เราพร้อมๆ กับว่า...
พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
โดยน้อมนึกถึงบุญอันมากมายไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งบุญกุศลที่เราสั่งสมมาดีแล้ว รวมทั้งบุญจากการภาวนาในครั้งนี้ ไปให้กับเทพผู้ปกปักรักษาเรา ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับบิดามารดา ครูบาอาจารย์และญาติทั้งหลาย ตลอดจนผีเหย้าผีเรือน พระภูมิเจ้าที่เทพพรหมทั้งหลายและสรรพสัตว์
ทั้งหลายไม่มีประมาณ ท่านทั้งหลายที่ยังมีความทุกข์ ขอจงพ้นทุกข์ ท่านทั้งหลายที่มีความสุขอยู่แล้วขอจงมีความสุขยิ่งๆขึ้นไป
ข้อควรทราบเพิ่มเติม
๑. นี้เป็นแค่ตัวอย่างวิธีปฏิบัติเพราะจริงๆแล้วไม่มีแบบปฏิบัติที่เป็นสูตรสำเร็จ ประกอบกับหลวงปู่ท่านได้วางกรอบเอาไว้กว้างๆ ดังนั้น ในรายละเอียดปลีกย่อยจึงไม่แปลกที่จะปฏิบัติแตกต่างกันออกไปบ้าง
๒. การอาราธนาพระเข้าตัว (บทสัพเพฯ) ก็เพื่อว่าเมื่อเวลาเลิกนั่งสมาธิไปแล้วจะได้ระมัดระวังรักษาองค์พระในตัวโดยการสำรวมระวังรักษากาย วาจา ใจ ตลอดวันไปกระทั่งถึงเวลานั่งสมาธิในครั้งต่อไป
๓. หากผู้ปฏิบัติมีพระสมเด็จฯ ของหลวงปู่ดู่ที่ใช้สำหรับกำนั่งสมาธิ ก็ให้นำมาไว้ในกระพุ่มมือ พนมไว้ที่หน้าอกในตอนที่อาราธนากรรมฐาน จากนั้นก็นำมากำไว้ในมือขวา โดยให้เศียรพระหันไปทางนิ้วโป้ง เอามือขวาทับมือซ้ายนิ้วโป้งทั้งสองจรดกัน
๔. เมื่อปฏิบัติจนจิตเริ่มปลอดโปร่ง หลวงปู่เคยแนะนำให้ผู้ปฏิบัติอธิษฐานบวชจิต โดยตั้งความปรารถนาขึ้นในใจว่า
ข้าพเจ้าขอถือเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์แห่งข้าพเจ้า
ขอถือเอาพระธรรมเจ้าเป็นพระกรรมวาจาจารย์
ขอถือเอาพระอริยสังฆเจ้าเป็นพระอนุสาวนาจารย์
ขอจงสำเร็จการบวชจิต ณ กาลบัดนี้เทอญ
จากนั้นก็ให้สร้างสมณสัญญาว่าขณะนี้ ตัวของเรานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ชายบวชเป็นภิกษุ ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณี แล้วสำรวมจิตและปฏิบัติภาวนาต่อไป
“พอ” (จากหนังสือ ตามรอยธรรม ย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หน้า ๓๓๔-๓๓๘)