หลวงปู่เป็นพระที่ระมัดระวังในเรื่องวินัยสงฆ์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่อง อวดอุตริมนุษธรรม
หลวงปู่มักไม่ปรารภถึงภูมิจิตภูมิธรรมของตนเอง หากจะปรารภก็มักปรารภในทางถ่อมตัว เช่น “ข้ายังมืดอยู่เลย” (แท้จริงแล้ว น่าจะหมายถึงจุดมืดอันเล็กน้อยที่ยังมีในดวงจิตของพระโพธิสัตว์เจ้า ที่เป็นตัวเหนี่ยวรั้งไม่ให้ท่านตัดกระแสเข้าสู่นิพพาน –ความเห็นส่วนตัว)
หลวงปู่ดักทายใจและล่วงรู้ความเป็นไปของลูกศิษย์ได้อย่างไม่มีที่ปกปิด แต่ท่านก็ไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ แต่ลูกศิษย์ต่างก็มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้
ดังเช่นครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ว่าเวลาปีติเกิดขึ้น มักจะรู้สึกเหมือนลงลิฟต์ ลึกลง ๆ อย่างหาที่จบไม่ได้ หลวงปู่ก็ถามกลับว่าให้สังเกตดูว่าแกนั่งก้มเกินไปหรือเปล่า ข้าพเจ้ากลับมานั่งที่บ้านคืนนั้น พอเกิดปีติอย่างเก่าก็ลืมตาขึ้นมาดูตัวเอง ผลคือ ข้าพเจ้าต้องตกใจ เพราะข้าพเจ้าก้มหน้าอย่างมาก ด้วยความที่เรามีอาการคล้ายจะเค้นปีตินั้นให้แรงขึ้น (ตามประสาคนหลง) โดยที่ตัวเราเองก็ไม่รู้ตัว แต่เหตุไฉน หลวงปู่จึงทราบได้ ทั้งที่ เรานั่งปฏิบัติอยู่ที่บ้าน อีกทั้งเชื่อว่าอาการปีติอย่างนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเพราะการก้มหน้าเค้นปีติเพียงอย่างเดียว
กับลูกศิษย์บางคนที่ยังต้องอาศัยเรื่องฤทธิ์เดชมาเป็นเครื่องล่อ หลวงปู่ก็ได้สร้างความอัศจรรย์ให้ปรากฏอีก เช่น คราวหนึ่ง หลวงปู่เดินมาคุยกับเพื่อนของข้าพเจ้าที่มุมหนึ่งบนหอสวดมนต์ กำลังคุยกันอยู่ดี ๆ เพื่อนของข้าพเจ้าหันกลับมาทางหลวงปู่ ก็ไม่เห็นท่าน เขาต้องตกตะลึงเมื่อหลวงปู่ไปยืนยิ้มอยู่อีกมุมหนึ่งของหอสวดมนต์ภายในเสี้ยววินาที ทั้ง ๆ ที่ท่านชราภาพมากแล้ว แต่ปรากฏการณ์ทำนองนี้ หลวงปู่ก็ไม่เคยพูดอวดออกมาเลย น้อยหนึ่งก็ไม่มี เพราะท่านยังคงมั่นคงต่อการมุ่งเน้นที่ธรรมะปฏิบัติ
เรื่องอัศจรรย์ หากไม่โยงไปที่ศรัทธาในพระรัตนตรัย หรือศรัทธาและความเพียรในการปฏิบัติขัดเกลาตนเอง ความอัศจรรย์นั้นก็จะกลับทำให้เราลุ่มหลงและเสียเวลาอันมีค่าไปได้ ดังที่หลวงปู่กล่าวย้ำเสมอ ๆ ว่า
“เวลาเหลือน้อยแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ”
“พอ”