สมัยที่มากราบหลวงปู่ใหม่ๆ มักได้ยินประโยคทำนองว่า “หลวงปู่ให้หนูตายก่อนนะ แล้วหลวงปู่ช่วยส่งหนูด้วย”
หลวงปู่ก็จะตอบว่า “แกต้องส่งตัวแกเองสิ”
คือคนเรานี่ เมื่อเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งใดก็ตาม ก็มักโยนความรับผิดชอบไปที่สิ่งนั้น เลยมองข้ามการพัฒนาตน มองข้ามการฝึกตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน
นี่ถ้าหลวงปู่สามารถส่งใครต่อใครได้จริงๆ ก็มิเท่ากับว่าหลวงปู่มีอำนาจเหนือกรรมดอกหรือ
ขอยกตัวอย่างที่หลวงปู่ก็มิอาจฝืนกรรมสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของป้าสอิ้ง ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่
เมื่อสมัยวัยรุ่น ป้าสอิ้งเคยเขวี้ยงมีดใส่วัวด้วยความโมโหที่มันไม่ยอมเดินกลับบ้านง่ายๆ ผลคือวัวเป็นแผล ได้รับทุกขเวทนามาก สุดท้ายมันก็ตาย
แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นนานหลายปีแล้วจนเมื่อป้าสอิ้งมาฝึกหัดภาวนากับหลวงปู่ ป้าก็เห็นดวงตาแดงก่ำของมันที่ผูกอาฆาตป้าจนป้าไม่อาจทำความสงบใจได้ต่อไป ป้าแผ่เมตตาอย่างไร มันก็ไม่รับ ป้าเลยมากราบเรียนหลวงปู่ ปรากฏว่าหลวงปู่แผ่เมตตาให้มัน มันก็ไม่รับเช่นกัน วิบากกรรมอันนี้ ทำให้ป้าหลังค่อมชนิดที่มิใช่หลังค่อมแต่กำเนิด
ป้าสอิ้งเล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่ช่วยแผ่เมตตาอยู่เนืองๆ (หมายถึงกินเวลาแรมเดือน แรมปี) นานเข้า จนดวงจิตของเจ้าวัวเริ่มอ่อนโยนลง ประกอบเศษกรรมของเขาเบาบางพอจะรับบุญได้ สุดท้ายเขาจึงรับบุญและมิได้มาปรากฏเป็นลูกกะตาแดงก่ำให้ป้าเห็นตอนทำภาวนาอีก
เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ว่า เราแต่ละคนๆ มีหน้าที่ต้องส่งตัวเอง …ทาน ศีล ภาวนา เสบียงของใครก็ของคนนั้น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มิใช่เป็นไปตามใจอยากของผู้ใด
“พอ” (๖ กันยายน ๒๕๖๑)
[…] (ดังที่เล่าในโพสต์ก่อนหน้านี้) แล้วก็เสียใจ […]