
ชายคนหนึ่ง เป็นผู้มีทัศนะไม่เห็นความสำคัญของพระศาสนาและวัตถุมงคล ขนาดว่าได้ไปในงานพิธีแห่งหนึ่งซึ่งนิมนต์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี มาเป็นประธาน เสร็จพิธี แขกที่มาในงานล้วนไปขอรับแจกพระจากหลวงปู่โต๊ะ ยกเว้นก็แต่ชายคนนี้ เพราะเขาคิดว่า ไม่รู้จะเอาไปทำไมกัน
นอกจากนี้ชายคนนี้ยังคิดว่า คนเขานั่งหลับตาภาวนา จะไปได้อะไร กระทั่งมีคนเอ่ยชื่อหลวงปู่ดู่ให้ได้ยินหลายครั้ง จนชักอยากจะไปเจอสักหน่อยว่าท่านมีดีอะไรหรือ คนใกล้ตัวจึงพากันไปกราบไหว้ท่านนัก
คงจะด้วยถึงกาลเวลาของเขา เขาจึงได้มีโอกาสตามเพื่อนไปกราบหลวงปู่ดู่ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อกราบหลวงปู่เสร็จ เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองจ้องท่าน นึกในใจว่าทำไมพระรูปนี้สวยจัง (คือผิวพรรณผุดผ่องมาก) พอเพื่อนแนะนำว่าชายผู้นี้ตามมากราบท่าน ท่านก็บอกให้เข้าไปทำงาน (หมายถึงนั่งสมาธิภาวนา) ในกุฏิท่าน โดยหลวงปู่ให้เขาหยิบพระกำนั่งในถาดไป ๑ องค์ พร้อมกับให้ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปนำปฏิบัติ
เขาเล่าว่า นั่งครั้งแรกในชีวิต นั่งฟุ้งมาก เหมือนไม่ได้อะไรเลย กระทั่งชายหนุ่มที่นำภาวนาบอกถึงเวลาเลิก พอออกมาข้างนอก ก็เห็นคนเริ่มมาถวายเพลหลวงปู่ ส่วนเขากับเพื่อนก็ออกไปทานก๋วยเตี๋ยวเรือ พอกลับเข้ามาอีกครั้ง หลวงปู่ก็ว่า จะมานั่งทำอะไรให้เสียเวลา ไปๆ เข้าไปทำงาน เขาจึงกลับเข้าไปนั่งภาวนาอีกครั้ง
คราวนี้ช่างต่างจากรอบแรก เพราะขณะภาวนา เขารู้สึกว่าตัวเขาเบามาก คล้ายๆ กับว่าตัวเขากำลังลอยต่ำลงๆ จนถึงพื้นล่างที่เย็นสบาย ปรากฏว่ารอบนี้ หนุ่มคนนั้นบอกให้ถอนจิตจากสมาธิ เขาเป็นฝ่ายไม่ถอน เพราะกำลังเพลินกับการภาวนา นึกในใจว่านั่งหลับตาภาวนา มันสุขอย่างนี้เองหนอ เข้าใจแล้ว
พอเขาออกจากห้อง นำพระกำนั่งมาคืนที่ถาด หลวงปู่บอกเขาว่า “ข้าให้แกเอากลับไปทำต่อที่บ้าน หมั่นทำเข้าไว้ ข้าไม่โกหกแกหรอก”
นับแต่วันนั้นมา ทัศนะของเขาต่อพระศาสนาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และเขากล้าพูดได้ว่าหลวงปู่ดู่คือผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา และท่านเป็นพระในดวงใจของเขาเพียงรูปเดียวตลอดไป
“พอ”