ในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๘ หลังจากหลวงปู่ดู่ละสังขารได้ ๑๕ ปี มีเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้น คือมีผู้ยืนยันว่าหลวงปู่ได้ไปปรากฏตัวและช่วยชีวิตเขาไว้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรู้จักหลวงปู่มาก่อนเลย
เรื่องมาจากว่าลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งได้ขับรถยนต์ไปชนถูกเด็กหนุ่มผู้หนึ่งจนบาดเจ็บสาหัส อาการเป็นตายเท่ากัน ด้วยความกลุ้มใจอย่างมาก ศิษย์ผู้นี้ได้เดินทางมากราบหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก อธิษฐานขอให้หลวงปู่ช่วยเด็กหนุ่มผู้นั้นให้รอดชีวิตด้วยเถิด จากนั้นเขาได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้กับหลวงน้าสายหยุด (พระภิกษุลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ ซึ่งพำนักอยู่ในวัดสะแก) ได้รับรู้เรื่องราวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
เด็กหนุ่มผู้ที่ถูกรถชนนั้น ทีแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU โรงพยาบาลในอยุธยา แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อาการก็ยังน่าเป็นห่วง แต่อยู่ๆ เพียบหนัก น่าจะไม่รอด ภายหลังอาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ กระทั่งกลับบ้านได้ จากนั้นนานก็มีคนชวนมาทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดสะแก เขาจึงได้มาวัดสะแกเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วให้บังเอิญมากที่ได้พากันมาทำบุญที่กุฏิหลวงน้าสายหยุด พอหลวงน้าสายหยุดได้ฟังเรื่องราวที่เขาไปประสบเหตุโดนรถชน จึงทำให้ทราบว่าที่แท้ก็เป็นเด็กคนที่ลูกศิษย์หลวงปู่ขับรถไปชนแล้วมาขออธิษฐานขอหลวงปู่ให้ช่วยชีวิตนั่นเอง
เหตุการณ์น่าอัศจรรย์เริ่มกระจ่างก็เมื่อตอนที่เด็กหนุ่มถวายสังฆทานเสร็จแล้วได้เหลือบเห็นรูปหลวงปู่ดู่ที่ผนังกุฏิของหลวงน้าสายหยุด เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่า “หลวงปู่องค์นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิตเขาไว้ หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง”
เขาเล่าว่าภายหลังเขาถูกส่งตัวต่อมาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่าง ก็มีผู้ชายนุ่งโจงกระเบนสีแดงจะมาเอาตัวเขาไป ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้ หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งโจงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก แล้วเขาก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วยๆ หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ ชายผู้นุ่งโจงกระเบนสีแดงก็หายตัวไป
หลวงปู่ถามเขาอีกว่า “ไหนล่ะร่างแก” เขาพยายามมอง แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียงๆ หนึ่ง แล้วถามว่า “นั่นใช่แกไหมล่ะ” เขาเห็นแล้วก็จำได้ กราบเรียนท่านว่า “ใช่ครับ” จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง หลังจากฟื้นขึ้นมา เขากลับมีอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก จึงได้มารู้ว่าที่แท้หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือหลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง
หลวงน้าสายหยุดเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยแววตาที่แฝงความปลื้มปีติในพลังเมตตาบารมีของหลวงปู่ที่ยังคงช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์หรือใครๆ ทั้งในยามที่หลวงปู่ท่านมีชีวิต และแม้ในยามที่หลวงปู่ท่านละสังขารแล้วก็ตาม
หลวงน้าสายหยุดผู้ที่ได้เล่าเรื่องนี้ ท่านได้ละสังขารไปแล้วเมื่อ ๒ ปีก่อน (พ.ศ. ๒๕๕๘)
“พอ” (๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐)