
เมื่อครั้งจัดเตรียมต้นฉบับสำหรับส่งโรงพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ดู่ พ.ศ. ๒๕๓๔
เมื่อเรียบเรียงประวัติหลวงปู่ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากฉบับที่คุณเมธาเรียบเรียงไว้เดิม โดยเพิ่มเติมเรื่องราวประวัติหลวงปู่จากการได้สัมภาษณ์หลายๆ ท่าน จนเสร็จเรียบร้อย
ลุงสิทธิ์ก็คิดว่าควรจะเขียนบทจบเพื่อสื่อแทนใจศิษย์ทั้งหลาย โดยสงบจิต หลับตาหวนระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่ดู่ ภาพอากัปกิริยาต่างๆ ของท่านก็ผุดขึ้นในจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพขณะท่านนั่งพูดคุยให้ธรรมะแก่ญาติโยม
กิริยาของท่านที่โน้มตัวน้อยๆ เข้าหาศิษย์ เพื่อจะฟังให้ชัดก่อนจะให้คำแนะนำแก่ศิษย์ ภาพความอดทนอดกลั้นของท่านที่นั่งสงเคราะห์ใครต่อใครตั้งแต่เช้าจรดค่ำเป็นเวลานับสิบๆ ปี ใครที่ไปวัดสะแกแล้ว เป็นได้พบท่านทุกครั้ง เพราะท่านไม่รับกิจนิมนต์ออกนอกวัด และถึงแม้ท่านอาพาธ ท่านก็ออกมาเอนกายพักอยู่หน้ากุฏิ คนที่อุตส่าห์เดินทางไกลมา ต้องได้กราบท่านแน่นอน
ภาพต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดขณะนั้น ทำให้ลุงสิทธิ์เขียนบทจบท้ายประวัติหลวงปู่ทั้งน้ำตาเหมือนต้องการให้ท่านรับรู้ว่า
“ธรรมทั้งหลายที่ท่านได้พร่ำสอน ทุกวรรคตอนแห่งธรรมที่บรรดาศิษย์ได้น้อมนํามาปฏิบัติ นั่นก็คือการที่ท่านได้เพาะเมล็ดพันธ์ุแห่งความดีงามบนดวงใจของศิษย์ทุกคน ซึ่งนับวันจะเติบใหญ่ผลิดอกออกผลเป็นสติและปัญญา บนลําต้นที่แข็งแรงคือสมาธิ และบนพื้นดินที่มั่นคงแน่นหนาคือศีล สมดังเจตนารมณ์ที่ท่านได้ทุ่มเททั้งชีวิตด้วยเมตตาธรรมอันยิ่ง อันจักหาได้ยากทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต...”
จากนั้น ลุงสิทธิ์ก็ปิดท้ายด้วยถ้อยคำที่ท่านกล่าวกับโยมชาวบ้านสามสี่คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าลุงสิทธิ์ ก่อนที่ท่านจะละสังขารไม่นาน ว่า
“ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว เมื่อนั้น ข้าจึงนับว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว”

จากปี ๒๕๓๔ จนถึงปัจจุบัน (๒๕๖๕) ผ่านมา ๓๑ ปี เพิ่งจะได้เล่าให้ฟังเบื้องหลังเป็นครั้งแรก เล่าแล้วก็ชวนให้น้ำตาจะไหลอีกครา
“พอ” (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕)