คิดว่ารับองค์เทพเข้าตัว ที่แท้ก็ผีทั้งนั้น

ในช่วงราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐ สังคมไทยยุคนั้น มีเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีกันมากมาย ผู้คนพากันไปทำพิธีรับขันธ์ตามสำนักทรงที่เกิดขึ้นมาอย่างเกลื่อนกลาด 

แน่นอน ไม่มีสำนักไหนบอกว่าทรงผี มีแต่อวดว่าสำนักตนทรงเทพยดาชั้นสูงบ้าง ทรงพระเถระในอดีตบ้าง ทรงบูรพกษัตริย์ไทยบ้าง คนก็หลงเชื่อ ไปรับขันธ์ รับองค์เทพเข้าสู่กายใจของตนเพราะคิดว่าจะเป็นศิริมงคล แต่พอรับขันธ์ได้ไม่นาน ก็มักจะมีปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ครองสติสัมปชัญญะไม่อยู่บ้าง ต้องได้ไปเสียเงินให้สำนักทรงอยู่เสมอๆ อาการจึงจะดีขึ้น แล้วอีกไม่นานเป็นอีก ซ้ำซากอยู่เช่นนี้

หลายคนที่ไปรับขันธ์มา คิดเปลี่ยนใจอยากจะเลิกและกลับมาเป็นตัวของตัวเอง บางคนโชคดีมีคนแนะนำมากราบหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ก็สงเคราะห์ให้ ท่านว่า “ผีทั้งนั้น” ท่านมักแนะนำให้หมั่นรักษาศีล เจริญภาวนา มีสติรู้ตัวในทุกอิริยาบถ จะได้มีเกราะคุ้มครองป้องกันเวลาที่สำนักทรงเขาปล่อยผีมาเข้าเรา ก็จะเข้าไม่ได้ 

บางรายไปสำนักทรงมานานปี แถมไปทานอะไรๆ ของเขา อย่างนี้ผมเคยได้ยินหลวงปู่บอกว่า “เป็นจนกระดูกดำแล้ว รักษายาก” 

คนที่เป็นมาก หากรู้จักทำสมาธิภาวนาก็จะหายได้ไวหน่อย แต่หากไม่รู้จักทำสมาธิภาวนา ก็ยากจะเยียวยา 

มีอยู่รายหนึ่งเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย คุณพ่อคุณแม่เขาพามาขอความอนุเคราะห์จากหลวงปู่ตามที่คนรู้จักได้แนะนำมา พอหญิงสาวผู้นั้นก้าวเท้าขึ้นบันไดมาถึงหน้ากุฏิหลวงปู่ ก็ถอดเสื้อเปลือยอก ร่ายรำ โดยเจ้าตัวก็คงทำไปโดยขาดสัมปชัญญะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เธอก็รู้สึกอับอาย เพราะเป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง ตั้งแต่ไปทำพิธีรับขันธ์มา เธอก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง รำกลางตลาดก็รำได้ 

ตอนนั้นเฮียอู๋นั่งอยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ให้รู้สึกหวั่นไหว จึงถอยฉากออกมาเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ เฮียอู๋เล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่ท่านคงแผ่เมตตาไปยังสาวที่กำลังร่ายรำ สักครู่ หญิงสาวผู้นั้นก็ได้สติ รีบเอาเสื้อมาใส่ ทำท่างงๆ พ่อแม่ของเธอจึงพาเธอกราบหลวงปู่ 

หลวงปู่ท่านก็สงเคราะห์ให้เขาสามารถกลับมามีสติสัมปชัญญะดังเดิม และอธิษฐานจิตล้างพิธีรับขันธ์ของเขา เพื่อให้เขากลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง 

เล่ามาถึงตรงนี้ ก็หวังว่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้พวกเราพากันห่างไกลจากเรื่องทรงเจ้าเข้าผี หรือเรื่องรับขันธ์ โดยอย่าได้หลงเชื่อว่าจะเป็นเทพยดาชั้นสูง เพราะเทวดาเขาเหม็นกลิ่นมนุษย์มาก การเข้าร่างมนุษย์ก็คล้ายๆ กับเราจะอธิษฐานเข้าไปสิงในตัวแมลงสาบอย่างนั้น ท่านไม่มาหรอก สงเคราะห์ด้วยวิธีอื่นก็ได้ 

ที่สำคัญ ครูบาอาจารย์ที่จะมาช่วยแก้ไขหรือรักษาให้เรา ก็หาได้ยากแล้ว ที่มีอยู่ก็มักเป็นเชิงพาณิชย์ ดีไม่ดีจะเป็นการหนีเสือปะจระเข้ ซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิมอีก ให้มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ในใจ นั่นแหละดีที่สุด สูงที่สุดแล้ว

“พอ” (๒ มิถุนายน ๒๕๖๐)

0 0 votes
Article Rating
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Inline Feedbacks
View all comments